ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จะรู้ได้อย่างไรว่าใครคนนั้น เป็นคู่บุญ หรือคู่บาป?

คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า 'คู่แท้' จะทำให้คุณนึกถึงเพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ 'ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป' หากหันมาใส่ใจกับคำว่า 'คู่บุญ' และ 'คู่บาป' แทน
อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ มองอย่างนี้อคติจะลดลงอย่างฮวบฮาบทันที ประเภทขัดเคืองใจนิดหน่อยก็เหมาว่านี่คู่เวรของเรา หรือประเภทต้องตาต้องใจเมื่อเริ่มพบก็เหมาว่านี่แหละคู่แท้ของฉัน เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่ายๆว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อๆมา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริงๆ
ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ ปัจจุบันประกอบกันไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือของใหม่ บุญที่สร้าง 'คู่บุญ' ขึ้นมาจะเหมือนๆกัน พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้ได้แก่
  1. มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน เช่นถือศาสดาองค์เดียวกัน เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อว่าโลกกลมหรือโลกแบนเหมือนๆกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รักเท่านั้น ขนาดเพื่อนกันแต่เชื่อไม่เหมือนกันยังยากที่จะเป็นเพื่อนสนิทเลยครับ ศรัทธาที่ร่วมกันปลูกฝังให้มั่นคงย่อมทำหน้าที่สร้างสายตาที่มองไปในทิศ เดียวกัน ไม่ก่อความรู้สึกเป็นอื่นจากกัน
  2. มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน พรานหนุ่มกับพรานสาวทนกลิ่นอายฆ่าฟันของกันและกันได้ แต่ให้หมอศัลย์ที่มีรังสีช่วยชีวิตมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกับมือปืนร้อยศพที่ ทะมึนด้วยรังสีเอาชีวิต อย่างไรก็คงทนกลิ่นอายที่เป็นตรงข้ามของกันและกันไม่ไหว และนั่นก็เช่นเดียวกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน สำส่อนไปเรื่อยโดยไม่สนใจความสกปรกหมกมุ่น ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นใน กันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ
  3. มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น การเอารัดเอาเปรียบเกิดจากจาคะที่ไม่เสมอกันเป็นมูล ยิ่งหากต่างฝ่ายต่างคิดเจือจานคนอื่น เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อยๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กัน แน่นแฟ้นขึ้น จาคะที่ร่วมกันยินดีโดยพร้อมเพรียงย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน
  4. มีปัญญาเสมอกัน กล่าวทางโลกคือคุยกันรู้เรื่อง กล่าวทางธรรมคือมีระดับการเห็นตามจริงใกล้เคียงกัน หรืออย่างน้อยเป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ใช่พูดคนละภาษา ฝ่ายหนึ่งทำก่อนคิด อีกฝ่ายคิดก่อนทำ หรือฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา หรือฝ่ายหนึ่งเห็นชัดว่าอะไรๆไม่เที่ยง ความยึดมั่นถือมั่นเหลือน้อย แต่อีกฝ่ายหนึ่งแค่เรื่องน้อยก็ยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม...ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกันก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดีๆเข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้ายๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)
หลักการดูคู่ ขอแนะว่าลองชักชวนกันทำบุญ ดูความรู้สึกผูกพันด้านดี จะแน่นอนกว่าการดูฤกษ์ยามใดๆครับ แต่ผมก็เข้าใจและเห็นใจ บางคนไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล ๕ อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุขในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ หากถือหลักความจริงนี้ ก็คงเป็นคำตอบไปในตัว ว่าเราจำเป็นต้องเชื่อเกณฑ์ชะตาราศีไหม
สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด
โดย : ตังตฤณ

ที่มา : http://dungtrin.com/newsletter/prepare064.htm

[คัดลอกบทความมาจาก http://www.meedee.net/news/ilife/dhamma-sangsan/3204]

ความคิดเห็น

  1. ผมได้เจอคู่กรรม (คู่บาป) เรียบร้อยแล้ว ลักษณะเฉพาะที่ทำให้มั่นใจว่าใช่ คือ เธอจะหาเหตุผลมาค้านเรื่องการทำบุญตลอด และสิ่งที่คนดี ๆ ทั่วไปเห็นว่าเป็นบาป เธอจะเห็นเป็นเรื่องปกติ และมองเราว่าเป็นคนแปลกประหลาดไม่เหมือนคนอื่น และแน่นอน เธอคิดว่าการทำ "กรรมหนัก" เป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ เขาก็ทำกัน ยากแก่การแนะนำสั่งสอน ผมได้อโหสิกรรมให้เธอเรียบร้อยแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะไม่กลับมาหลอกหลอนผมอีก หลังจากนี้จะได้เจอคู่บุญเสียที

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เทคนิคการสอบใบขับขี่รถยนต์ ท่าจอดรถเทียบฟุตบาทห่างไม่เกิน 25cm ด้วย "Sticker"

วันนี้พาพี่ที่บ้านไปสอบใบขับขี่รถยนต์ครั้งที่ 3 ซึ่งสอบตกท่าจอดรถเทียบฟุตบาท โดยคนขับรถเป็นแล้วจะรู้สึกว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน แต่สำหรับคนที่เพิ่งหัดขับรถ ประกอบกับได้จับรถป้ายแดงที่เพิ่งถอยออกมาขับได้ ไม่ถึง 5 ชม. นั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ ผมคนหนึ่งที่ได้ใบขับขี่มานาน แต่พอให้มาขับจอดเทียบฟุตบาทด้วยรถป้ายแดงใหม่เอี่ยมของคนอื่นแล้ว มีอันต้องจอดห่างทุกที ด้วยเวลาในการซ้อมขับที่เหลือไม่ถึง 3 ชม. ก่อนสอบจริง ทำให้ต้องคิดหาเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่จะทำได้ใบขับขี่มา (เพราะเหนื่อยกับความพยายามสอบมา 2 ครั้งแล้ว) จนทำให้คิดเทคนิค "Sticker" นี้ขึ้นได้ โดยปกติแล้วถ้าขับรถจอดเทียบฟุตบาทแล้วพยายามมองกระจกข้างให้ล้อหลังชิดเส้นขอบพอดี ผลออกมาจะทำให้ล้อหน้าปีนฟุตบาท ไอ้ครั้นจะให้พี่ที่เพิ่งหัดขับรถมาได้ไม่ถึง 8 ชม. กะขนาดตัวรถให้ได้ (ซึ่งขนาดผมเองยังคงกะลำบาก) ภายในสิบห้านาทีนั้นโอกาสเป็นไปได้ยากมาก ด้วยการทดลองเทคนิคต่าง ๆ หลาย ๆ แบบ ที่พอจะนึกออกจากประสบการณ์และเวลาอันสั้นรวบรัด ก็ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรให้สามารถมองล้อหน้าว่าติดเส้นขอบหรือเปล่า ได้เหมือนกับที่ใช้กระจก

ทำ TP-Link TL-WA850RE v1.2 ลง OpenWrt ทำเป็น Range Extender และ auto login Hotspot (WISP Mode)

(ลอกคำพูด  บทความเก่า ) สืบเนื่องจากได้รับการแจก Wifi Range Extender TP-Link TL-WA850RE มาเพื่อใช้กระจายสัญญาณ Wifi ของบ้านพัก ที่เป็น GPON ปัญหาคือ TP-Link มันกากกกกกกกกกก..............มากกกกกกกกกกกกกก กล่าวคือ 1. ปัญหา ping กากกกกก.......... เริ่มใช้งานก็ดีอยู่ ping ไป Gateway ได้ ราว 5-10ms แต่พอใช้ไปสัก 3-4 ชม. มันจะ ping ขึ้นเป็น  400-500ms รู้สึกได้เพราะใช้ Remote Desktop ตลอด เม้าส์มันจะกระตุก ๆ ๆ ๆ จนน่ารำคาญ วิธีแก้แสนง่าย (แต่ไม่ยั่งยืน) คือ สั่ง reboot หรือ ชักปลั๊กเสียบใหม่ 2. ปัญหาเนตตัด แน่นอน ระบบ authen พรบ.กำหนดว่า "ของมันต้องมี" ถึงแม้จะตั้งเวลา TimeOut ให้ถึง 24 ชม. แต่มันก็ไม่คล่องตัว เพราะติดกล้องวงจรปิดไว้ดูผ่านเนตตอนไม่อยู่บ้าน แต่พอจะดูกลับ "ดูไม่ได้" เพราะ "เน็ตตัด" ช่างเจ็บกระดองใจจริง ๆ เรื่องเนตตัดที่บ้านก็มี Router LinkSys WRT-350N อยู่ซื้อตอนทำวิจัยปี 51 รูดปรื๊ดมาตั้ง 6500 (ตอนนี้เสียดายตังค์มาก) ซึ่งลง DD-WRT v24sp2 เรียบร้อย ตั้งใจจะทำ auto login แต่ดันมาตายจากไปเสียก่อน ระหว่างพยายามหา Router Linksys WRT54GL ในตำน

ทำ Linksys WRT54GL v1.1 ลง DD-WRT ให้เป็น auto login Hotspot (WISP Mode)

สืบเนื่องจากได้ Router Linksys WRT54GL มา เลยอยากเอามาทำ auto login ให้เหมือน NanoStation M5  ก็เลยต้องพึ่งพา Firmware DD-WRT v24 SP2 mini build 12548M NEWD Eko แต่ทว่า มันไม่มี Station Mode ให้เลือก จากการหาข้อมูลถึงให้รู้ว่าต้องเลือกเป็น Client Mode จากนั้นก็ตั้งค่าปกติ แต่ทำแล้วติด dns cannot resolve ต้องตั้งค่าปลด  UseDNSMasq on DHCP ออก ก็สามารถใช้งาน DNS ได้ เริ่มใส่ script auto login แต่ติดที่ว่า DD-WRT ไม่มี persistence storage พอสร้างไฟล์ script เสร็จ มันก็หายตอนเครื่อง restart ค้นหาข้อมูลก็เจอแนวทางให้ใช้ Startup Script สร้าง script file ตอนเริ่มบูตเครื่องเลย ดังภาพ - script มีการเปลี่ยนนิดหน่อย เพราะ wget ใช้เหมือนเดิมไม่ได้ Startup Script มีดังนี้ echo '#!/bin/sh' > /tmp/autologin.sh echo 'count=$(ping -c5 -w5 8.8.8.8 | grep "100% packet loss" | wc -l)' >>/tmp/autologin.sh echo 'if [ "$count" -gt 0 ]; then' >> /tmp/autologin.sh echo ' wget -O /dev/null "http://172.168.1.1/CheckVali