ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

(ถอดความ) ธรรมบรรยายเนื่องในธรรมมงคลสมรส นางสาวมีสุข แจ้งมีสุขกับนายพงศกร กุลดิลกชัยพัฒน์ โดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐


(ถอดความ) ธรรมบรรยายเนื่องในธรรมมงคลสมรส นางสาวมีสุข แจ้งมีสุขกับนายพงศกร กุลดิลกชัยพัฒน์
โดย พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล วัดนาป่าพง ลำลูกกา คลอง ๑๐
15 ก.พ. 56 ณ บ้านก้ามปู

บางคนอาจคิดว่า ถ้าจะเข้าถึงธรรมะแล้ว คงจะแต่งงานไม่ได้ แต่พระศาสดาบอกว่า คนเราสามารถเจริญทั้งสองทางได้
คนเรา ถ้ามีธรรมะแล้ว ย่อมเจริญด้วยบุตร ภรรยา ข้าทาส กรรมกร ทรัพย์อันเป็นขนาดแห่งบุตร เจริญด้วยสัตว์สี่เท้า
และบุคคลนั้นควรเจริญด้วยศีล สุตะ จาคะ ปัญญา คนคนนี้จึงจะเจริญทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรมได้
ดังนั้น การที่เรามีคู่ครองก็ไม่ได้ขัดขวางเราในการเข้าถึงธรรม การปฏิบัติธรรม หรือการเข้าถึงมรรคผลนิพพาน

คุณสมบัติของความเป็นพระโสดาบัน ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้กับช่างไม้ คุณธรรม 4 ประการ ถ้าใครมีคนนั้นเป็นโสดาบันบุคคล
คือ การมีความเลื่อมใสในพระพุทธ เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใสในพระสงฆ์ และอย่างที่สี่คือมีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่มด้วยการให้ เป็นผู้
ควรแก่การขอ ยินดีในการเสียสละ จำแนกทาน อยู่ครองเรือน

เราอยู่ครองเรือนได้ โดยมีใจปราศจากความเป็นมลทิน และมีใจยึดมั่นในพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ความมั่นคงในพระรัตนตรัยในจุดนี้ พระองค์ตรัสไว้ใน
ลักษณะของความชี้ชัด ซึ่งจะเป็นภาษาบาลีว่า ตถาคเต เอกนฺตคโต อภิปฺปสนฺโน  ปสนฺโน คือเลื่อมใส, อภิ คือ อย่างยิ่ง, เอกนฺตคโต คือ ไปส่วนเดียว, ตถาคเต คือ ในตถาคต มีความ
เลื่อมใสอย่างยิ่งในส่วนเดียวกับตถาคต ไม่มีคนอื่น
ดังนั้นผู้ที่เป็นโสดาบัน จะมีความมั่นคงในพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่หวั่นไหว มีศรัทธาอันหยั่งลงมั่น เปรียบเหมือนเสาหินที่ยาวสิบหกศอก ฝังลึกลงไปในดินแปดศอก โผล่ขึ้นมาแปดศอก
จะไม่หวั่นไหวต่อแรงลมฝนที่มาทั้งสี่ทิศฉันใด พระโสดาบันก็ฉันนั้น จิตจะไม่เบาเหมือนปุยนุ่น ที่ลมพัดทางซ้ายมันก็ปลิวทางซ้าย ลมพัดทางขวามันก็ปลิวขวา ใครสะกิดไปไหนก็ไป
หมด จิตจะยังไม่หยังลงมั่น

ประโยชน์ของพระโสดาบัน
พระโสดาบันคือ ผู้ที่พ้นแล้วซึ่งจากอบายทุกคติวินิบาตนรก เป็นบุคคลที่ไม่ต้องไปอบายอีกต่อไปแล้ว เพราะเราทั้งหลายท่องเที่ยวไปในสังสารวัตรกันมายืดยาวนาน เคยไปเที่ยวในอบาย
ก็เคยมาแล้วกันทุกคน เคยไปเป็นเดรัจฉาน ก็เคยมาแล้วกันทุกคน พระองค์บอกว่าน้ำตาที่เธอเคยไหล มากกว่าน้ำในมหาสมุทธทั้งสี่ เลือดที่ไหลจากคอเธอเพราะเธอเคยถูกฆ่าตัดคอ
มากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ ลองกลับไปดูหนังสือภพภูมิที่ได้รับแจกในวันนี้ จะเป็นคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าเกี่ยวกับเรื่องภพภูมิ เราจะได้ทราบว่าที่ว่าสวรรค์นรกมีจริง แล้วพระ
พุทธเจ้าพูดยังไง มีแต่ฟังว่าคนพูดกัน แต่พระพุทธเจ้าพูดอย่างไร วันนี้เราจะได้ทราบจากหนังสือเล่มนี้ เป็นคำที่ออกจากปากพระศาสดาโดยตรง
ไม่ได้แต่งเติมหรือตัดทอนใด ๆ และเป็นข้อมูลที่เก่าที่สุดในโลก สองพันห้าร้อยกว่าปี โดยใช้จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ สืบทอดมาจากเสาหินอโศก ยุคพระเจ้าอโศก ฯ

และนี่คือประโยชน์ของโสดาบัน เราจะได้ทราบว่าทำไมต้องเป็นโสดาบันด้วย เพื่อไม่ให้เราต้องวนเวียนสู่อบายทุกคติวินิบาตนรก และโสดาบัน เกิดอีกไม่เกินเจ็ดคราว จะได้สำเร็จเป็น
พระอรหันต์

มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า พระจักรพรรดิ กับพระโสดาบัน ใครประเสริฐกว่ากัน พระศาสดาบอกว่า ถึงแม้พระจักรพรรดิ หลังจากการตายเพราะการแตกทำลายแห่งกาย อาจได้เข้าถึงสุคติ
โลกสวรรค์ เป็นสหายอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นดาวดึงส์ เธอนั้นแวดล้อมอยู่ด้วยหมู่นางอัปสรในสวนนันทวัน อิ่มเอิบเพียบพร้อมไปด้วย กามคุณทั้งห้าอันเป็นถิ่น แต่เมื่อสิ้นอายุขัยแล้ว เท้าเธอ
ก็ยังไม่รอดพ้นไปได้เสียจากนรกกับเดรัจฉานหรือเปรตวิสัย พระองค์จึงบอกว่าโสดาบันประเสริฐกว่า ถึงแม้จะนุ่งห่มด้วยผ้าปอน ๆ ไม่มีชาย หาอาหารด้วยกำลังจากปลีแข้ง แต่เธอนั้นก็
พ้นแล้วจากอบายทุกคติวินิบาตนรก เพราะฉะนั้นนี่คือความเลิศของโสดาบัน และพอเรากลับไปดูคุณสมบัติของโสดาบัน ไม่ได้ยากเกินไป เราฆราวาสก็เป็นได้ ครองเรือนอยู่ก็เป็นได้ แค่
มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า หยั่งลงมั่นในพระองค์ แล้วก็มีทานการให้

ลักษณะของทานการให้ต้องวางจิตให้ดี เพราะพระองค์ตรัสไว้กับพระสารีบุตร พระสารีบุตรถามการให้ทานยังไง ถึงจะมีผลใหญ่ และมีอานิสงฆ์ใหญ่ ปกติเราให้ทาน เราก็วางจิตกันหลาย
แบบ พระองค์ก็แจกแจงกับพระสารีบุตร ว่าถ้าเธอวางจิตอย่างนี้จะได้ผลใหญ่ แต่ไม่ได้อานิสงฆ์ใหญ่

วางจิตอย่างไรได้แค่ผลใหญ่ พระพุทธเจ้าบอกสารีบุตร คนบางคนในโลกนี้ให้ทานโดยหวังผล มีจิตผูกพันในผล มุ่งการสั่งสม คิดว่าเราตายไปจักได้เสวยผลของทานนี้ บุคคลกลุ่มนี้ เมื่อ
ตายไปจะได้ไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นจาตุมหาราชิกะ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่แล้ว ก็กลับมาสู่สังสารวัตรเช่นเดิม นี่คือได้แค่ผลใหญ่ แต่ไม่ได้อานิสงฆ์ใหญ่

คนบางคนก็ไม่หวังผล ไม่มุ่งการสั่งสม ไม่มีจิตผูกพันในผล ไม่คิดว่าเราตายไปจะได้เสวยผลของทานนี้ แต่เขาคิดแค่ว่า การให้ทานเป็นการดี พวกนี้เขยิบขึ้นมาเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์
แต่หมดอายุขัยแล้วก็เหมือนเดิม เข้ามาสู่สังสารวัตรใหม่ บางพวกก็บอกว่าให้ทานตามประเพณี  ปู่ย่าตายายทำมาอย่างนี้ ก็เขยิบมาอีกชั้นหนึ่ง บางพวกก็บอกสมณะไม่หุงหากิน เราหุงหา
กินได้ ก็เขยิบมาอีกชั้นหนึ่ง บางพวกบอกให้ไปเถอะ เราจะได้มีจิตเลื่อมใส ปลื้มปีติใจ ก็เขยิบมาอีกชั้นหนึ่ง แต่ก็ยังกลับมาสู่สังสารวัตร

ทีนี้ให้แบบใดวางจิตแบบใด จึงจะได้ทั้งผลใหญ่ และอานิสงฆ์ใหญ่ พระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องให้ในลักษณะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ปรุงแต่งยังไง ก็คือต้องวางจิต อย่างที่บอกว่าโสดาบันมีการ
ให้ทานยังไง ก็คือละความตระหนี่ในใจ ถ้าบุคคลนั้นให้ทานโดยการละความตระหนี่ในใจของตนเอง มีใจปราศจากความตระหนี่อันเป็นมลทิน  มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่มด้วยการ
ให้ เป็นผู้ควรแก่การขอ ยินดีในการเสียสละ ลักษณะนี้ เขาจะได้เกิดเป็นพรหมกายิกานังเทวานัง สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ไม่ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ไม่
ต้องกลับมาสู่สังสารวัตร สามารถที่จะหลุดพ้นเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้ นี่แค่การให้ทาน การวางจิตที่ล้ำเหลื่อมกันผิดกันนิดเดียว ก็ได้อานิสงฆ์ต่างกัน

วันนี้ก็จะบอกแง่มุมต่าง ๆ ให้พวกเราได้ทราบเพื่อเราจะได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ที่เราเคารพบูชา กราบไหว้ เชื่อมั่นว่าพระองค์เป็นผู้ตรัสรู้จริง ได้บอกสอนพวกเราไว้อย่าง
ไรบ้าง เพื่อให้เราจะได้นำไปใช้ นำไปประพฤติปฏิบัติ มีการวางจิตที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

ทีนี้การครองเรือน พวกเราวันนี้คงจะได้รับหนังสือจากเจ้าภาพอีกเช่นกัน ที่เป็นเรื่องของคู่ครอง ว่าพระพุทธเจ้าตรัสสอนอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องการมีคู่ครอง ชายเทวดา อยู่ร่วมกับหญิงเทวดา
ชายเทวดาเป็นยังไง หญิงเทวดาเป็นยังไง อีกสามอย่างลองไปหาอ่านดู

ชายเทวดาอยู่ร่วมกับหญิงเทวดา ก็คือทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างก็มีศีลห้าในการครองตน ถ้าเขามีธรรมะ มีการประพฤติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบยิ่ง ปฏิบัติตามธรรมอยู่ ทั้งคู่ก็จะอยู่
ร่วมกันอย่างผาสุก และคู่ใดที่ต้องการจะอยู่ด้วยกันไปอย่างตลอดรอดฝั่ง ทั้งภพนี้ และขอแถมไปเจอในภพหน้า พระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่าให้เธอทำธรรมะสี่ประการ คือ ให้มีศรัทธาเสมอ
กัน ให้มีศีลเสมอกัน ให้มีปัญญาเสมอกัน ให้มีจาคะเสมอกัน สามีภรรยาคู่ใดประพฤติธรรมสี่ประการนี้ได้เสมอกัน สามีภรรยาคู่นั้นจะอยู่ได้ตลอดกันไปทั้งในภพนี้ และก็ไปเจอกันไปใน
ภพหน้าด้วย เพราะถ้าสามีศีลไม่ดี ไปเกิดในภพไม่ดี ภรรยาศีลดีไปเกิดในภพอื่น ก็เจอไม่เจอกันแล้ว ดังนั้นสี่ข้อนี้ต้องเสมอกัน ฯ

ลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธานั้น พระองค์ตรัสไว้อย่างไร พระองค์บอกกับภิกษุสุกูติ เพราะคนหลายคนบอกว่าผมมีศรัทธา แต่ที่เขาพูดว่าศรัทธา เขามีลักษณะแห่งศรัทธาของผู้ที่มี
ศรัทธาจริงหรือไม่ บอกสุกูติ คนที่มีศรัทธา เขาจะสั่งสมสุตะ เขาจะฟังมากในคำที่คนเขาศรัทธา ดังนั้นถ้าโยมศรัทธาในตถาคต โยมต้องฟังคำในตถาคตมาก ต้องสั่งสมสุตะในคำของ
ตถาคต นั่นถึงจะเรียกว่าศรัทธาในพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าคนไหนเราไม่ศรัทธา เราจะไปอ่านคำของเขาทำไม แต่ถ้าเราศรัทธาเขา เราต้องอ่านผลงานเขา พระศาสดาพูดว่ายังไง เงี่ยโสต
ลงฟังเสียหน่อยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าเคยบอกสอนว่าอย่างไร นั่นแหละลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา

อีกอย่างหนึ่งพระองค์บอกว่าเขาจะเป็นผู้ว่าง่าย คนมีศรัทธา เขาจะว่าง่ายบอกง่ายสอนง่าย เชื่อฟังถ้อยคำโดยความเคารพหนักแน่น เราศรัทธาใครเราจะฟังถ้อยคำเขา เขาบอกสอนอะไร
เราจะเดินตาม เมื่อเราฟังมาแล้ว เราจะปรารภความเพียร เขาจะใช้ความพยายาม เพื่อจะเดินตามคำสอนของคนที่เขาศรัทธา ดังนั้นนี่คือลักษณะแห่งศรัทธาของผู้มีศรัทธา ให้เรา
สังเกตว่า คนที่บอกศรัทธาพระพุทธเจ้า เขามีลักษณะแห่งศรัทธา ของผู้มีศรัทธาจริงหรือเปล่า อย่างนี้เป็นต้น

เราก็ได้ทราบข้อธรรมต่าง ๆ ก็ยินดีที่มาให้ธรรมะในวันนี้กับคู่บ่าวสาวและแขกทั้งหลายที่มาในงานนี้ ซึ่งก็คงจะเป็นประโยชน์ต่อเราในการดำเนินชีวิตต่อไป เพราะว่าเป็นข้อธรรมที่
พระศาสดาได้ตรัสไว้ ซึ่งโยมอาจคิดว่าอาตมาพูดเอง เดี๋ยวลองกลับไปดูหนังสืออีกที อาตมาพูดจากการทรงจำคำพระตถาคต เพราะพระมีหน้าที่ถ่ายทอดคำตถาคต เป็นทายาทแห่งธรรม
ตถาคต ไม่ได้เป็นทายาทแห่งธรรมของคนอื่น พระมีหน้าที่ copy คำพระพุทธเจ้า แล้วก็บอกคนอื่นต่อว่าอาจารย์ฉันชื่อสิทธัตถะเก่งที่สุด เยี่ยมยอดที่สุด ไม่มีอาจารย์คนไหนเก่งกว่า
อาจารย์ฉันอีกแล้ว และพระทุกรูปต้องบอกว่า พระพุทธเจ้าคืออาจารย์ของตัวเอง เราเป็นบุตร เป็นโอรสอันเกิดจากปากของพระตถาคต ดังนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเธอถูกถามว่าพวกเธอ
เป็นใคร ให้เราตอบว่า เราเป็น สมณะ ศากยะ ปุตยะ เป็นบุตรของสมณะ ในศากยะตระกูล เพราะฉะนั้นพระทุกรูปต้องเป็นทายาทแห่งคำพูดของตถาคต เจอใครก็จะประกาศบอกว่า
ตถาคตพูดอย่างนี้ ตถาคตสอนอย่างนี้ อาจารย์ฉันเก่งสุด สมณพราหมณ์เหล่าอื่น ไม่มีมาทัดเทียม อย่างนี้ถึงเรียกว่า ทายาทแห่งธรรม ดังนั้นพระในครั้งพุทธกาลก็จะเป็นอย่างนี้กันหมด
กษัตริย์มาถามพาลทวาชะ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้ารูปหนึ่ง ถามปัญหาแรกก็ตอบไปว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ ถามไปอีกคำถามหนึ่งก็ตอบไปว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ ถามมากี่ปัญหา
ก็ตาม จะเอาคำพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ เพราะพระพุทธเจ้าตอบปัญหาของคนทั้งโลกไว้หมดแล้ว โยมอาจไม่ทราบว่าพระพุทธเจ้ารู้ความคิดของคนทั้งโลก มนุษย์ทั้งโลกคิดไม่เกิน 62
แบบ บัญญัติทิฐิ 62 มนุษย์คิดแค่นี้ เทวดาคิดยังไง เปรตวิสัย เดรัจฉานยังไง พระพุทธเจ้ารู้หมด นี่คือความสามารถของพระศาสดาของเรา จะเห็นว่ากว้างใหญ่ไพศาลมาก ไม่มีประมาณ
สาวกเทียบชั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าสาวกกับพระองค์ต่างชั้นกันอย่างสิ้นเชิง แค่ความต่างชั้นที่เราเห็น ที่พระองค์พูดบอกธรรมะ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ นั้น เราก็เห็นว่าเป็น
ความเหนือชั้นที่สาวกเทียบไม่ได้แล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่า นี้ยังเป็นเพียงน้อยนิด ความสามารถที่ตถาคตมีนั้น มากกว่านี้อีกมาก แต่ไม่ได้นำมากล่าว เพราะว่า ไม่ได้เป็นไปพร้อมเพื่อ
ความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ดับไม่เหลือ เพื่อนิพพาน พระองค์จึงไม่นำมาพูด ไม่นำมาสอน เป็นเรื่องจริงเรื่องแท้ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อนิพพาน ก็เลยเก็บเอาไว้ จะนำมาบอกสอน
เฉพาะที่เป็นประโยชน์ต่อนิพพาน เพราะพวกเราต้องเดินไปสู่ความแก่ความเจ็บ พวกเราจะได้มีหลักจิตหลักใจ ในการที่จะต่อสู้กับความชราที่จะมาถึง ความเจ็บที่จะมาถึง เงินทองช่วยเรา
พ้นจากความเจ็บไม่ได้ พ้นจากความแก่ไม่ได้ แต่ธรรมะช่วยได้ พระองค์จึงบอกว่า ถึงแม้จะเป็นพรหม เป็นเทวดา ก็ไม่อาจต้านทานความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรา
มีธรรมะขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เราจะมีความมั่นคงในชีวิต มีความเข้มแข็ง อาจหาญ ไม่กลัวต่อความตาย ความเจ็บ ความตายที่จะมาถึง เราจะใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข มีทุกข์น้อย ความ
ทุกข์ต่าง ๆ ก็จะเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว และเรามีวิธีแก้ที่ถูกต้องด้วย เพราะคนเราแก้ทุกข์บางทีก็แก้ผิด ๆ ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตาย กินยาพิษ เมาเหล้า ไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ แต่คนที่ได
สดับในคำตถาคต จะใช้มรรคมีองค์แปด หรือศีล สมาธิ ปัญญา ในการแก้ปัญหาความทุกข์ชีวิต แล้วเขาจะเป็นบุคคลที่มีความสุขมาก สุขเพราะทุกข์น้อย ความยึดมั่นถือมั่นน้อย ความ
ทุกข์ก็ลดลงไปตามลำดับ

หลักง่าย ๆ ที่อยากฝากเอาไว้ก็คือ พยายามดึงจิตกลับมาอยู่ที่กายให้มาก พระองค์เรียกกายคตาสติ การที่เราจะมีปัญญา การที่เราจะทำให้จิตมีกำลัง การที่เราจะทำให้กองกุศลต่าง ๆ เกิด
ขึ้นภายในตัวเรา พระองค์บอกว่าเอาจิตตั้งอยู่กับกาย เรียกว่า กายคตาสติ พระองค์บอกว่า ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่าบริโภคอมตะคือนิพพาน กายคตาสติอันชน
เหล่าใดหลงลืม อมตะชื่อว่าอันชนเหล่านั้นหลงลืม ถ้าโยมลืมเอาจิตตั้งอยู่กับกาย โยมลืมนิพพานเหมือนกัน จำวลีคำพูดพระพุทธเจ้าสั้น ๆ ง่าย ๆ บรรทัดเดียว ยึดไว้เป็นหลักให้ดี แล้วเรา
สามารถเข้าถึงอมตธรรมคือความไม่ตายได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราทุกคนมีความไม่ตายอยู่ในตัวกันทุกคน เพียงแต่เราเพลิดเพลินไปในสังสารวัตรไปนิดหน่อย ฉะนั้นเวลาที่เหลือของชีวิต เรา
ทุ่มเทให้กับคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วก็ดำเนินชีวิตไปตามครรลองคลองธรรมที่พระองค์วางไว้ เป็นฆราวาสทำยังไง เป็นนักบวชทำยังไง อยากเป็นโสดาบันทำยังไง อยากสูงกว่า
นั้นทำยังไง อยากสวย รวย สูงศักดิ์ พระองค์สอนไว้หมด ต้องไม่มากโกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง
ไม่แสดงความโกรธ หรือความขัดเคือง หรือความไม่พอใจให้ปรากฏ พระพุทธเจ้าบอกยืนยันสวยแน่นอนเลยคนนี้ และถ้าเธอนั้นเป็นผู้ให้ข้าว ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอมเครื่องลูบไล้
ที่นอน ที่อยู่อาศัย ประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์ พระพุทธเจ้าบอกคนนี้รวยแน่นอน

ดังนั้นเหตุปัจจัยต่าง ๆ ในการได้มาซึ่งเอกลักษณ์ปัจจัย เงินทอง ชื่อเสียงเกียรติยศต่าง ๆ พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว ลองกลับไปดูในหนังสือภพภูมิ และหนังสือที่คู่บ่าวสาวแจกให้ใน
วันนี้ เป็นเนื้อแท้ที่มีประโยชน์มากต่อชีวิตของเรา เราจะได้เป็นปุถุชนผู้ได้สดับในธรรมของตถาคตขึ้นมาทันทีเลย

ธรรมะ 5 อย่างเพื่อความสำเร็จตามความปรารถนา มีศรัทธาในตถาคต มีศีล มีสุตะคือฟังคำตถาคตมาก มีจาคะ มีปัญญา พระพุทธเจ้าบอกใครทำห้าอย่างนี้ ปรารถนาอะไรจะได้หมด
ลองกลับไปทำดู แล้วเราจะได้ทุกอย่างตามปรารถนา ก็คิดว่าคงจะสมควรแก่เวลา พวกเราจะได้ปฏิบัติภารกิจอื่นกันต่อ ในโอกาสนี้ อาตมาก็ขออนุโมทนา ให้กับคู่บ่าวสาวและแขกทุกท่าน
ในวันนี้ให้มีความเจริญก้าวหน้าในธรรมะของตถาคต คิดหวังสิ่งใดก็ขอให้สำเร็จสมความปรารถนา ที่สุดขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จมรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลอันใกล้ โดยทั่ว
กันทุกท่านทุกคนเทอญ

ป.ล. หากมีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนต้องขออภัยด้วย เพราะดันง่วงตอนช่วง 4.00-4.45

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เทคนิคการสอบใบขับขี่รถยนต์ ท่าจอดรถเทียบฟุตบาทห่างไม่เกิน 25cm ด้วย "Sticker"

วันนี้พาพี่ที่บ้านไปสอบใบขับขี่รถยนต์ครั้งที่ 3 ซึ่งสอบตกท่าจอดรถเทียบฟุตบาท โดยคนขับรถเป็นแล้วจะรู้สึกว่าไม่เห็นจะยากตรงไหน แต่สำหรับคนที่เพิ่งหัดขับรถ ประกอบกับได้จับรถป้ายแดงที่เพิ่งถอยออกมาขับได้ ไม่ถึง 5 ชม. นั้นเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ ผมคนหนึ่งที่ได้ใบขับขี่มานาน แต่พอให้มาขับจอดเทียบฟุตบาทด้วยรถป้ายแดงใหม่เอี่ยมของคนอื่นแล้ว มีอันต้องจอดห่างทุกที ด้วยเวลาในการซ้อมขับที่เหลือไม่ถึง 3 ชม. ก่อนสอบจริง ทำให้ต้องคิดหาเทคนิควิธีต่าง ๆ ที่จะทำได้ใบขับขี่มา (เพราะเหนื่อยกับความพยายามสอบมา 2 ครั้งแล้ว) จนทำให้คิดเทคนิค "Sticker" นี้ขึ้นได้ โดยปกติแล้วถ้าขับรถจอดเทียบฟุตบาทแล้วพยายามมองกระจกข้างให้ล้อหลังชิดเส้นขอบพอดี ผลออกมาจะทำให้ล้อหน้าปีนฟุตบาท ไอ้ครั้นจะให้พี่ที่เพิ่งหัดขับรถมาได้ไม่ถึง 8 ชม. กะขนาดตัวรถให้ได้ (ซึ่งขนาดผมเองยังคงกะลำบาก) ภายในสิบห้านาทีนั้นโอกาสเป็นไปได้ยากมาก ด้วยการทดลองเทคนิคต่าง ๆ หลาย ๆ แบบ ที่พอจะนึกออกจากประสบการณ์และเวลาอันสั้นรวบรัด ก็ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า ทำอย่างไรให้สามารถมองล้อหน้าว่าติดเส้นขอบหรือเปล่า ได้เหมือนกับที่ใช้กระจก...

เขียนโปรแกรม Visual Studio 2008(.NETCF3.5) กับ Windows Mobile 6 ติดต่อกับ Database MSSQL Server 2008 โดยตรง (ไม่ได้ใช้ SQLCE)

รับ Requirement ให้เขียนโปรแกรมบน Windows Mobile 6 ติดต่อกับ Database MSSQL Server 2008 โดยตรง ตอนแรกก็ลองใช้ SQLCE แต่เท่าที่ดูมันไม่ได้เชื่อมต่อ กับ Database Server แต่มันใช้ Database ในเครื่อง Pocket PC แทน ซึ่งไม่ตรงกับ Requirement นัก เลยลองเขียนโปรแกรมเชื่อมต่อไปยัง SQL Server ตรง ๆ กับปรากฏว่า import System.data.SqlClient ไม่ได้ หาไปหามา พบว่า SqlClient มันอยู่ในไฟล์ System.Data ใน VS2008 ซึ่งถ้าใช้ .NETCF 3.5 มันไม่มีให้ใช้ ลองถามอากู๋ดูก็พบว่ามีคนเขียนแล้วใช้ได้ เลยสงสัยว่าใช้ได้ยังไง หมดไป 1 วันก็พบว่าเขา Add Reference file "System.data.SqlClient.dll" มาใช้กัน ซึ่งเป็นของ "VS2005" ถ้าเป็น VS2008 มันเอาไปรวมใน System.Data.dll แล้ว หมดสิทธิ์ใช้งานนะจ๊ะ ครั้นลองเอา System.data.dll ของ .NET framework ตัวเต็มมา Add ใส่แทนที่ ผลปรากฏว่าพังไม่เป็นท่าเลย หลังจากถอดใจแล้วผลอยหลับไปงีบ ตื่นมาก็อาศํยสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียหน่อย ท่องคาถาให้งานราบรื่น ปรากฏว่า "สิ้งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ไปเจอ Link (ลิงก์พังแล้ว) นี้   ซึ่งม...

ทำสาย Console Port ของ Router Zyxel P660HW-T1 v2 จาก True ไว้ซ่อมตอน Update firmware แล้วเดี้ยง ขึ้น PWR LED Blink

(หากใครต้องการข้อมูลเนื้อ ๆ ไม่อยากอ่านนิยาย ก็เลือกอ่าน link หรือดูรูปเอานะครับ ^^') สืบเนื่องมาจากอาการ Router Zyxel P660HW-T1 v2 เกิดอาการ Restart เองบ่อย ๆ มาตั้งแต่ก่อนน้ำท่วม (กลางเดือน ก.ย. 54) ช่วงน้ำท่วมก็เลยได้ข่าวจากเว็บไซต์ ทรูออนไลน์ว่า สามารถแำ่ก้ปัญหาได้โดยการ update firmware แต่ต้องผ่านสาย LAN เท่านั้น ด้วยความอยากโชว์เหนือ และขี้เกียจไปคุ้ยสาย LAN ก็เลย update มันผ่าน Wireless ซะเลย 555 ผลคือ router เดี้ยงไฟ PWR LED กะพริบตลอดเวลา เศร้าคโรต ไม่น่าเลย T-T ลองหาวิธีแก้จากอากู่ดู ได้ความว่าสามารถส่งไปเคลมที่ Zyxel ได้ (ไม่รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายหรือเปล่า) และอีกวิธีคือสามารถใช้ สาย Console Port update firmware เข้าไปใหม่ได้ แต่สาย Console ไม่มีขายต้องทำเอง อาศัย chipset Max3232 อ้างอิงตาม Link ข้างล่าง http://www.adslthailand.com/forum/viewtopic.php?f=21&t=85843 http://www.adslthailand.com/forum/viewtopic.php?f=21&t=64770&start=0 เห็นวงจรแล้วค่อนข้างเครียดทีเดียว เพราะความรู้อิเล็คทรอนิคส์ ก็มีแค่งู ๆ ปลา ๆ ปู ๆ ยิ่ง ๆ เมือตอนหัดเล่น ว. สมัย ม.6 เท...